ในสถานการณ์การเมืองประเทศไทย มีการชุมนุมประท้วงเรียกร้องทางการเมืองโดบประชาชนรวมพลังสีแดงประชาธิปไตย ทั้งแผ่นดินเริ่ม 12 – 14 มีนาคม 53 เพื่อชุมนุมประท้วงทางการเมือง ร่วมกันต่อสู้แบบสันติวิธีอหิงสา ทวงถามหาสิทธิ เสรีภาพ เสมอภาคในทางการเมือง ความยุติธรรมและความเป็นธรรมในสังคม ยุติธรรมไม่มี ไร้สมานฉันท์ ในประเทศไทย
การชี้นำทางการเมือง การสื่อสารชี้นำทางการเมืองโดยกลุ่มชนชั้นนำกล่าวหาใส่ร้ายทางการเมืองอย่าง อยุติธรรม เพื่อหวุังทำลายภาพพจน์และความน่าเชื่อถือที่มีต่อพ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เพื่อก่อให้เกิดความเกลียดชังต่อบุคคลในหมู่ประชาชน และใช้เป็นเงื่อนไขรัฐประหารโดยกองทัพ 19 กันยายน 2549 ทำการโค่นล้มรัฐบาลพรรคไทยรักไทย และฉีกรัฐธรรมนูญ 2540 ฉบับประชาชน แม้จะได้ชัยด้วยกำลังกลับมีผลเสียทางการเมือง แต่กลับทำให้ประชาชนตาสว่าง ลุกขึ้นต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยทีี่มีรัฐบาลของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน กระแสมวลชนดุจน้ำป่าไหลหลากนับหลายแสนคน จากทุกภาคของประเทศ เข้าสู่กรุงเทพ ถึงขณะนี้ กว่าแสนคน เพื่อสำแดงพลานุภาพประชาธิปไตย รัฐบาลร่างทรงเผด็จการได้ประกาศใช้กฎหมายความมั่นคง เริ่ม 11- 26 มีนาคม 53 เพื่อทำลายยุทธศาสตร์มวลชนเสื้อแดงและเตรียมระดมสรรพกำลังทั้งมวล ไม่ว่าจะเป็นทหาร ตำรวจ พร้อมอาวุธ ประมาณ 5,000 นาย พลเรือน มวลชนจัดตั้ง และสื่อกระแสหลัก ตลอดจนงบราชการลับและทุนเอกชนเพื่อใช้กฎหมายเป็นอาวุธ กดดันแกนนำและอาจใช้วิธีรุนแรงโดยใช้อาวุธปราบปรามประชาชน ปัญหาว่าสถานการณ์จะพัฒนาไปสู่ความรุนแรงโดยกลุ่มมวลชน หรือรัฐบาลจะสร้างสถานการณ์เพื่อใช้กำลังทหารและอาวุธปราบปราบประชาชนหรือไม่ไม่มีใครจะสามารถให้คำตอบได้อย่างใด
การเมืองประชาธิปไตยจะได้มาด้วยการต่อสู้ มวลมหาชนจะต่อสู้ทางการเมืองโดยแบบสันติวิธีไร้ความรุนแรงเพื่อให้ได้ประชาธิปไตยได้อย่างไร และจะจบลงเมื่อไร
การต่อสู้ทางการเมืองของประชาชน แกนนำพร้อมมวลชนจงอย่าสู้ด้วยความโกรธา และฮึกเฮิมจนชะล่าใจ และมั่นใจในพลานุภาพมากเกินไป อย่าหลงฮุบเหยื่อที่เขาหยิบยื่นให้ จะติดกับดักอันชั่วร้าย ระวัง จะถูกทำลายสิ้น แต่จงสู้ด้วยสติและปัญญาที่เยือกเย็น อหิงสา อย่าหวั่นไหวและเปี่ยมด้วยขวัญกำลังใจ อย่านำมวลชน ด้วยใจที่แข็งกระด้าง แต่จงมีจิตใจที่ยืดหยุ่น รวมพลังให้มากทีสุด เหนียวแน่น รักษาขวัญกำลังใจของมวลชน สร้างพลังกดดันต่อเป้าหมายด้วยพลานุภาพ กระจายช่องทางการสื่อสารถึงประชาชนทั่วไป และต่างประเทศ จงพิจารณาเหตุการณ์ รูปการณ์ และสถานการณ์การสู้รบและพินิจพิเคราะห์ให้จงหนัก เห็นประโยชน์พึงเคลื่อน ไม่เห็นประโยชน์อย่าเคลื่อน ถนอมมวลชนรับเป็นโอกาสรุกและ โอกาสรุกเกิดจากรับ แสวงหาจังหวะ จงรุกโอกาส และพิชิตโอกาส หากไม่มีจังหวะ จงรอคอยโอกาส อย่ายืดเยื้อ ยาวนาน ถอยได้ถอยรักษายุทธศาสตร์ทางการเมือง
รบคือไม่รบไม่รบคือรบเป็นพลานุภาพของประชาชน ชัยชนะในทางการเมืองประเทศไทยสู่ประชาธิปไตย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น